Audio/อัน-ซาบูร์
 
 
 
 
 
 
 
ประสบกาณ์ชีวิตกับพระเจ้า/ ไลลาห์
 
 

ก่อนที่เชื่อในท่านอีซาข้าพเจ้าเคยเป็นมุสลิมมาก่อน ตอนเป็นเด็กข้าพเจ้าเรียนโรงเรียนตามปกติและหลังจากเลิกเรียนก็ต้องเรียนศาสนาต่อทุกวันวันเสาร์และวันอาทิตย์ด้วย พ่อแม่ของข้าพเจ้าเป็นคนค่อนข้างเคร่งครัดในเรื่องศาสนา ข้าพเจ้าปฏิบัติตามกฎศาสนาดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ข้าพเจ้าต้องเรียนและอ่านคัมภีร์อัลกุรอานทุกวัน แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเข้าใจความที่แท้จริงเลยว่าหมายถึงอะไร เพราะคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาอาหรับทั้งหมด ข้าพเจ้าจึงแค่อ่านให้จบตามที่มุสลิมทุกคนปฏิบัติกันเท่านั้น

หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมที่จังหวัดตรังแล้ว ข้าพเจ้าก็สอบเข้าเรียนได้ที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพ ฯ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าพเจ้าต้องจากบ้านมาอยู่คนเดียวและไกลจากบ้านมาก ตอนนั้นรู้สึกกังวลมากเพราะไม่มีคนที่รู้จักเลย และสถานที่ก็ไม่รู้จักที่ไหนเลย ข้าพเจ้าได้เข้าพักในหอพักของมหาวิทยาลัย และที่นั่นข้าพเจ้าก็ได้รู้จักกับรุ่นพี่ที่เป็นมุสลิมและเขาก็ได้พาข้าพเจ้าไปชมรมนิสิตมุสลิมเพื่อรู้จักกับรุ่นพี่อีกหลายคนและเพื่อนๆรุ่นเดียวกันทำให้ข้าพเจ้ารู้จักเพื่อนมากขึ้น ข้าพเจ้าเข้าร่วมเป็นสมาชิกของชมรมและมาทำกิจกรรมที่ชมรมทุกวันมีความสัมพันธ์กับพี่น้องคนอื่นเป็นอย่างดี ชมรมมุสลิมจะอยู่ติดกับชมรมคริสเตียน ทุกวันที่ข้าพเจ้าไปละหมาด ข้าพเจ้าจะได้ยินชมรมคริสเตียนร้องเพลงกันตลอดเวลา ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า คริสเตียนไร้สาระมากๆ ทุกวันไม่เห็นทำอะไรเลย เอาแต่ร้องเพลงตลอดเวลา แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยพูดคุยกับคริสเตียนไม่เคยถามว่า ทำไมร้องเพลงตลอดเวลา เพราะข้าพเจ้าคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องรู้เรื่องของคริสเตียน และข้าพเจ้าเป็นสมาชิกชมรมมุสลิมมาตั้งแต่ปี1 จนถึงปี4

ขณะที่เรียนอยู่ปี4 ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่า มีฝรั่งกลุ่มหนึ่งมาที่มหาวิทยาลัยทุกวัน และข้าพเจ้ามีเพื่อนที่รู้จักกับฝรั่งกลุ่มนี้ เขาก็ชวนข้าพเจ้าไปร่วมกิจกรรมด้วย ตอนนั้นข้าพเจ้าอยากฝึกภาษาอังกฤษจึงไปร่วมกิจกรรม โดยที่ไม่รู้ว่าทุกคนเป็นคริสเตียนมาประกาศเรื่องราวของนบีอีซา และตอนสุดท้ายของกิจกรรมได้มีการแบ่งปันชีวิตของนักศึกษาอเมริกันคนหนึ่งว่ามาเป็นคริสเตียนได้อย่างไร และทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่าทุกคนเป็นคริสเตียน ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนโดนหลอกให้มาฟังเรื่องพระเจ้า ไม่พอใจมากๆ แต่วันนั้นได้มีนักศึกษาอเมริกันคนหนึ่งได้ชวนข้าพเจ้าไปโบสถ์ ตอนนั้นข้าพเจ้าคิดว่าไม่มีใครมาบังคับข้าพเจ้าได้และเชื่อมั่นในความเชื่อของตัวเองด้วย จึงตัดสินใจไปโบสถ์กับนักศึกษาอเมริกัน

ไปโบสถ์ครั้งแรกในชีวิต และได้ฟังคำสอนของคริสเตียนครั้งแรกในชีวิตรู้สึกแตกต่างจากคำสอนที่เราเคยได้ยินมา คำสอนของคริสเตียนเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น แต่คำสอนของอิสลามจะรุนแรงฟังแล้วรู้สึกเครียด แต่การไปโบสถ์นั้นก็ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกผิด เสียใจและร้องไห้เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่าทำผิดต่อศาสนาของตนเอง เพราะคนอิสลามนั้นห้ามเข้าโบสถ์ และที่โบสถ์นี้ข้าพเจ้าก็ได้รู้จักกับพี่คนหนึ่งเขาได้ให้หนังสือข้าพเจ้าด้วยเป็นหนังสือเกี่ยวกับผู้หญิงมุสลิมที่มาเชื่อพระเจ้า ชื่อหนังสือ กล้าเรียกว่าพระบิดา (I dared to call Him Father)

ตอนแรกที่ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนเป็นชีวิตของตัวข้าพเจ้าเอง เพราะคนเขียนเป็นมุสลิมเหมือนกัน การปฏิบัติในแต่ละวันก็ปฏิบัติเหมือนกันทุกอย่าง เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ และข้าพจ้าก็อ่านไปเรื่อยๆ จนถึงที่บอกว่า “พระเจ้าของคริสเตียนเป็่นเหมือนพ่อ” คำนี้สัมผัสใจข้าพเจ้ามากๆ เพราะข้าพเจ้ากับพ่อเราสนิทกันมาก และทำให้คิดถึงพระอัลลอฮ์ ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกว่าเราห่างไกลกันมาก ไม่สามารถที่จะไปถึงพระองค์ได้เลย และในที่สุดขัาพเจ้าก็ได้ลองอธิษฐาน แต่ตอนนั้นข้าพเจ้าก็ยังไม่เชื่อเหมือนเป็นการท้าทายด้วย ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า “ถ้าพระเจ้าของคริสเตียนเป็นพระเจ้ามีจริง ดิฉันอยากเห็นพระเจ้า และดิฉันอยากสัมผัสพระเจ้าได้” ขอดุอาฮฺในนามท่านอีซา และหลับตาขอดุอาฮฺอยู่คนเดียวในห้อง พอขอดุอาฮฺเสร็จข้าพเจ้าก็เห็นภาพบางอย่างเห็นขณะที่หลับตาอยู่ แต่ก็เป็นภาพที่ชัดมากๆด้วย ภาพที่เห็นคือ มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังข้าพเจ้าใส่ชุดสีขาว และขาวมากๆสะท้อนแสง แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถเห็นหน้าของเขาได้ และเขาก็เดินเข้ามาหาข้าพเจ้าและมาหยุดอยู่ข้างๆซึ่งใกล้ข้าพเจ้ามาก แล้วเขาเอามือของเขาลูบศรีษะของข้าพเจ้าเบาๆอย่างอ่อนโยน และข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่า เขาเป็นพ่อของข้าพเจ้า และในขณะเดียวกันข้าพเจ้าก็รู้สึกได้ว่ามีคนมายืนข้างๆข้าพเจ้าจริง ทั้งภาพทั้งความรู้สึกชัดเจนมากๆ แล้วพอลืมตาขึ้นมาดูว่าใครเข้ามาในห้อง ก็ไม่พบว่ามีใครเข้ามาเลย มีข้าพเจ้าคนเดียว ตอนนั้นข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกบางขึ้นมาในใจ ข้าพเจ้าเริ่มร้องไห้ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมร้องไห้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตัวเอง แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ข้าพเจ้าสนใจในเรื่องของท่านอีซาและอยากจะรู้ว่าท่านอีซาเป็นใครมากยิ่งขึ้น

และข้าพเจ้าก็ได้ไปขอยืมคัมภีร์จากเพื่อนที่เป็นคริสเตียนที่อยู่ห้องถัดไป แล้วเขาก็ให้คัมภีร์อินญีลข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็ได้อ่านคัมภีร์อินญีล เป็นครั้งแรกในชีวิต ตื่นเต้นมากๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งเห็นว่า สิ่งที่อีซาทำอะไรบ้าง ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินแบบนี้มาก่อนเลย

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็อ่านคัมภีร์อินญีล เล่มนั้นจบใช้เวลาในการอ่านหนึ่งเดือน และหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ขอดุอาฮฺต้อนรับท่านอีซาเข้ามาในชีวิต เป็นความรู้สึกที่พิเศษมากข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนในชีวิต ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่ามีสันติสุขข้างในใจอย่างมาก และทุกวันอาทิตย์ข้าพเจ้าก็ไปโบสถ์ และเรียนคัมภีร์ไบเบิ้ลกับพี่เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ โดยครอบครัวยังไม่ทราบว่า ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียนแล้ว เวลาปิดเทอมข้าพเจ้ากลับไปบ้านก็ทำปกติทุกอย่างเหมือนมุสลิมคนอื่นๆ แต่เวลากลับมาเรียนที่กรุงเทพ ข้าพเจ้าก็ไปโบสถ์เหมือนเดิม ข้าพเจ้าทำแบบนี้ประมาณ สองปี และญาติสนิทที่พักอยู่ด้วยกันเริ่มสงสัย ว่าข้าพเจ้าไปไหนทุกวันอาทิตย์ และเขาเจอคัมภีร์ไบเบิ้ลของข้าพเจ้า และเขาก็เป็นคนบอกกับครอบครัวว่า ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียน

หลังจากนั้นพ่อแม่ของข้าพเจ้าก็พยายามทำทุกอย่างให้ข้าพเจ้ากลับเป็นมุสลิมเหมือนเดิมและห้ามไม่ให้ไปโบสถ์ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลและหนังสือที่เกี่ยวกับคริสเตียนต้องทิ้งให้หมดห้ามเก็บไว้ ข้าพเจ้าต้องทิ้งหนังสือไปหลายเล่ม แต่แอบเก็บคัมภีร์ไบเบิ้ลไว้ จนที่บ้านคิดว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคริสเตียนแล้ว

ต่อมาข้าพเจ้าก็ย้ายออกมาอยู่คนเดียวและไปโบสถ์เหมือนเดิม หลังจากนั้นอีกสามปีข้าพเจ้ารู้สึกข้างในว่า ที่เวลาแล้วที่ข้าพเจ้าต้องบอกกับครอบครัวว่า ข้าพเจ้าติดตามท่านอีซา แล้ววันนึงพ่อแม่ของข้าพเจ้ามาเยี่ยมที่กรุงเทพ และข้าพเจ้าก็ได้บอกกับพ่อแม่ว่า ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านอีซาเป็นพระเจ้า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อยากที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้าเลย มันปวดใจที่สุดตอนที่บอกกับพ่อแม่ เพราะข้าพเจ้าต้องใช้เวลาถึงห้าปีถึงจะมีความกล้าและความเชื่อที่มากพอ และครั้งนี้เหตุการณ์ที่ตามมาหนักยิ่งกว่าครั้งแรกมากๆ พ่อัแม่ของข้าพเจ้าตามหาข้าพเจ้าทุกที่ในกรุงเทพฯ ที่ทำงานและที่โบสถ์ ข้าพเจ้าต้องหนีไปอยู่ต่างจังหวัดที่บ้านของพี่น้องคนนึง ข้าพเจ้าต้องทางไปในที่ ๆไม่เคยไปตามลำพัง มันยากมากกับการที่ต้องหนีจากครอบครัวของตัวเอง เหนื่อยมาก เกือบจะเดินหน้าต่อไปไม่ไหวแล้ว แต่ก็สู้ๆ ในเมื่อเลือกพระเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าต้องซ่อนตัวอยู่หลายเดือน ต้องออกจากงาน ไม่มีที่อยู่ที่แน่นอนต้องย้ายที่อยู่ทุกสามเดือนแต่ก็ยิ่งเห็นว่า พระเจ้าดูแลเลี้ยงดูยังงัย ข้าพเจ้าไม่เคยขัดสนเลย รู้สึกว่าพระเจ้าเป็นพ่อของข้าพเจ้า

หลายครั้งที่ข้าพเจ้ารู้สึกท้อแท้ในการติดตามท่านอีซา และเหนื่อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับความคิดและความรู้สึกของตัวเอง ข้าพเจ้าไม่อยากเดินหน้าต่อ ข้าพเจ้าอยากเลิกติดตามท่านอีซาและกลับไปเป็นเหมือนเดิม ครั้งที่ข้าพเจ้ารู้สึกแย่ที่สุดตอนวันแม่ ข้าพเจ้าร้องไห้คิดถึงเหมือนข้าพเจ้าจะตายและคิดว่าเป็นคริสเตียนแล้วไม่มีแม่ ข้าพเจ้าอยากกลับบ้านไปอยู่กับแม่ แล้วพระเจ้าก็ส่งครอบครัวนึงมาให้ข้าพเจ้าได้ไปอยู่ด้วย สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการมากที่สุดคือครอบครัว และพระเจ้าก็รู้ เป็นครอบครัวที่น่ารักมาก สิ่งที่ขาดหายไปช่วงเวลานึงพระเจ้าก็เติมเต็มให้ช่วงเวลานึงด้วย หลังจากศรัทธาในท่นอีซาแล้ว ข้าพเจ้าไม่ค่อยรู้สึกว่าพระเจ้าทรงอยู่ห่างไกล แต่สถิตอยู่กับข้าพเจ้าอย่างสนิท


ข้าพเจ้าได้พักอาศัยอยู่กับครอบครัวนี้ เป็นหลายเดือนข้าพเจ้ามีความสุขมาก เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวด้วย และพระเจ้าก็นำข้าพเจ้าให้รับใช้ที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำเลย ข้าพเจ้าต้องเรียนที่จะเชื่อฟังและยอมกับพระเจ้าอย่างมาก เพราะสิ่งที่พระเจ้านำไปนั้นคือ การทำพันธกิจกับพี่น้องมุสลิมในที่สุดข้าพเจ้าก็ต้องบังคับตนเองให้ทำในสิ่งที่พระเจ้าเลือกให้ และเห็นว่าพระเจ้าทรงปรารถนาใช้ข้าพเจ้าที่จะสำแดงความรักของพระเจ้า ต่อพี่น้องมุสลิม

ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีสันติสุขมากๆที่จะรับใช้พี่น้องมุสลิม และมีความหวังว่าวันนึงครอบครัวของเราจะมารู้จักกับท่านอีซาด้วย…อามีน


 
Answering Islam Thailand, 1999 - 2006. All rights reserved.